รู้ทันไข้เลือดออก

          โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในประเทศไทย และประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะพบบ่อยในฤดูฝน  โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อยุงลายมากัดคน จะสามารถถ่ายทอดเชื้อโรคสู่คน ทำให้คนเกิดอาการป่วยได้ และสามารถพบได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก  โดยการติดเชื้อไวรัสนี้ มีถึง 4 ชนิด ทำให้คนเรามีโอกาสป่วยจากโรคนี้ได้หลายครั้ง  อาการของผู้ที่ติดเชื้อไวรัสไข้เลือดออกนี้ (เด็งกี่) มีอาการแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ

1. ระยะไข้สูงลอย อาจสูงถึงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส และสูงนานได้ 2-7 วัน มีอาการหน้าแดง ตัวแดง ปวดเมื่อย ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง บางรายอาจมีจุดเลือดออกที่ผิวหนังได้
2. ระยะวิกฤติ ระยะนี้จะมีไข้ลดลง แต่ยังเป็นระยะที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เนื่องจากบางรายจะมีการรั่วของพลาสมาออกจากเส้นลือด ทำให้เลือดข้น ขาดน้ำและอาจเกิดอาการช็อกได้ โดยจะมีอาการมือเท้าเย็น ตัวเย็น กระสับกระส่าย ปัสสาวะออกน้อย ตัวลาย พฤติกรรมเปลี่ยน เช่น ร้องกวน เพ้อ สับสน บางรายอาจมีภาวะความดันโลหิตตกตามมา อีกทั้งยังอาจมีอาการเลือดออกที่อวัยวะภายใน เช่น กระเพาะอาหาร, ประจำเดือนออกมากผิดปกติ อาจทำให้เกิดอวัยวะสำคัญ เช่น ตับและไต ล้มเหลวตามมา ระยะเวลาในระยะนี้ ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละราย
3. ระยะพักฟื้น ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้น แต่ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ เนื่องจากยังมีไวรัสอยู่ในเลือด ควรเฝ้าระวังอาการใกล้ชิดอีกประมาณ 1 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้มีเลือดออก และงดยาแอสไพรินหรือยากลุ่ม NSAID

การรักษา

 ไม่มียารักษาเฉพาะโรค  รักษาตามอาการเท่านั้น โดยเฝ้าระวังการขาดน้ำและติดตามอาการใกล้ชิดในระยะวิกฤต

การป้องกัน

• หลีกเลี่ยงยุงกัด กำจัดแหล่งที่มียุงลายและลูกน้ำ
• ฉีดวัคซีนป้องกัน : ปัจจุบันมีวัคซีนที่ป้องกันเชื้อเด็งกี่ได้ 4 สายพันธุ์ สามารถป้องกันการติดเชื้อได้และลดการนอนโรงพยาบาลได้ดี แนะนำฉีดในกลุ่มอายุ 9-45 ปี

ข้อมูลวัคซีนเพิ่มเติมติดต่อ แผนกเภสัชกรรม 032532576-80